การชลประทาน
ในอดีตกาลการชลประทาน คือกิจการที่มนุษย์ทำขึ้นเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำ จัดหาน้ำสำหรับใช้ในการเพาะปลูก ได้แก่ การทดน้ำ การส่งน้ำ การระบายน้ำ และควบคุมการใช้น้ำเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรให้ได้มากที่สุด แต่ปัจจุบัน ทรัพยากรน้ำตามแหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งนอกจากเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งในการดำรงชีวิตของมนุษย์ แล้วยังมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และรักษาสภาพสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การชลประทานจึงไม่ได้จัดหาน้ำมาได้ใช้เพื่อการเพาะปลูกแต่เพียงอย่างเดียว ยังต้องจัดหาน้ำมาใช้ในด้านอื่น ๆ พระราชบัญญัติการชลประทานหลวงพุทธศักราช ๒๔๘๕ จึงให้ความหมายการชลประทานว่าเป็นกิจการที่จัดทำขึ้นเพื่อให้ได้มาซึ่งน้ำ หรือเพื่อกัก เก็บ รักษา ควบคุม ส่ง ระบาย หรือแบ่งน้ำ เพื่อการเกษตรกรรม การพลังงาน การสาธารณูปโภค หรือการอุตสาหกรรม และหมายความรวมถึงการป้องกันความเสียหายอันเกิดจากน้ำ รวมถึงการคมนาคมทางน้ำ ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ชลประทานด้วย
ประกอบด้วย
1.เขื่อน
2.ฝาย
3. อ่างเก็บน้ำ
วัตถุประสงค์ของการชลประทาน
1.เพื่อให้ดินมีความชุ่มชื้นพอเหมาะกับการเจริญเติบโตของพืช
2. เพื่อให้พืชมีน้ำใช้ตลอดฤดูการเพาะปลูก
3.เพื่อชะล้างและละลายเกลือในดินในเขตรากพืช
4.สามารถปลูกพืชได้หลายครั้งต่อ ปี
5.เพื่อทำให้ดินอ่อนนุ่ม สะดวกต่อการเตรียมดินและรากสามารถขยายตัวดีขึ้น
ดินสำหรับการชลประทาน( Soils for Irrigation)
หมายถึง วัตถุที่เป็นส่วนประกอบของสารซึ่งเกิดจากการสลายตัวและผุกร่อนของหิน อินทรีย์วัตถุ น้ำ และก๊าซ ซึ่งทำหน้าที่เป้นเครื่องยึดเหนี่ยวของลำต้น และเป็นคลังเก็บอาหาร และน้ำ ไว้ให้เพื่อใช้สำหรับการเจริญเติบโต
คุณสมบัติของดินที่เหมาะแก่การเจริญเติบโตของพืช
1. สามารถอุ้มน้ำไว้ให้พืชใช้ได้ ปริมาณน้ำที่เก็บไว้ได้จะต้องไม่น้อยเกินไป จนต้องให้น้ำบ่อย ๆ
2. มีการระบายน้ำและถ่ายเทอากาศได้ดี
3. มีแร่ธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืชอยู่มากพอ
4. ความเข้มข้นของสารเคมีหรือเกลือในดินจะต้องไม่มากจนเป็นอันตรายต่อพืช
ชนิดของดิน
1.ดินทราย (Sands) ประกอบด้วยทรายมากกว่า 85 %ดังนั้นจะมีลักษณะร่วน เมล็ดดินไม่เกาะกันแต่ละเมล็ดสามารถมองเห็นและสัมผัสได้ เมื่อกำให้แน่นในมือขณะที่ดินแห้งแล้วคลายมือออกจะแตกร่วน ถ้ากำในขณะที่เปียกชื้นจะเป็นก้อนแต่แตกออกได้ง่ายเมื่อใช้นิ้วแตะเบา ๆ
2. ดินร่วนปนทราย (Sandy Loam) เป็นดินที่ประกอบด้วยทรายมากกว่า 50 % แต่ก็มีตะกอนทรายและอนุภาคดินเหนียว มากพอที่จะประสานให้เกาะกันเป็นก้อนได้ ทรายแต่ละเมล็ดสามารถมองเห็นและสัมผัสได้ เมื่อกำให้แน่นในมือ ขณะที่ดินแห้งจะเป็นก้อนแต่แตกออกจากกันได้ง่าย ถ้ากำในขณะที่เปียกชื้นจะเป็นก้อนและไม่แตกเมื่อใช้นิ้วแตะเบา ๆ
3. ดินร่วน (Loam) เป็นดินซึ่งมีส่วนประกอบของทราย ตะกอนทรายและอนุภาคดินเหนียว มากเกือบพอๆ กัน เปอร์เชนต์อนุภาคดินเหนียวต่ำกว่าทราย และตะกอนทรายเล็กน้อย มีลักษณะอ่อนนุ่มเมื่อจับ เมื่อเปียกจะเหนียวเล็กน้อย ถ้ากำให้แน่นในมือ ขณะที่ดินแห้งจะเป็นก้อนและไม่แตกออกจากกันเมื่อใช้นิ้วกดเบา ๆ ถ้ากำในขณะที่เปียกชื้นจะเป็นก้อนแข็ง
4. ดินร่วนปนตะกอนทราย (Silt Loam)เป็นดินที่ประกอบด้วยตะกอนทรายมากกว่า 50 % ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นทรายละเอียด ดินชนิดนี้เมื่อแห้งจะจับกันเป็นก้อน้อน แต่ทำให้แตกออกจากกันได้ง่าย ถ้าบี้ให้ละเอียดด้วยนิ้วจะรู้สึกรื่นเหมือนแป้ง เมื่อเปียกจะมีลักษณะเป็นโคลนและไหลไปรวมกันได้ง่าย
5.ดินเหนียว (Clay) เป็นดินเนื้อละเอียดซึ่งจะจับตัวเป็นก้อนแข็งเมื่อแห้ง เหนียว สามารถปั้นเป็นรูปต่าง ๆ ได้
วิธีการจัดการดินเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจ
การปรับปรุงบำรุงดินเพื่อเพิ่มผลผลิตพืช
1. การจัดการดินอินทรียวัตถุต่ำบนคันดินรอบสระเพื่อปลูกพืช
การใช้ประโยชน์ที่ดินบนคันดินรอบสระที่มีอินทรียวัตถุต่ำนั้น จำเป็นต้องทำการปรับปรุงแก้โครงสร้างดินให้เหมาะสม โดยปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้
- หว่านเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสด เมื่ออายุเหมาะสมประมาณ 55 – 60 วัน หรือเริ่มออกดอก สับกลบลงดิน เพิ่มอินทรีวัตถุให้แก่ดิน
- เตรียมดินให้ละเอียดสม่ำเสมอ และใส่ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเพิ่มอินทรียวัตถุ และปลูกพืชผักอายุสั้นที่ทำรายได้ดี เช่น ผักคะน้า ถั่วฝักยาว บวบ มะระ พริกขี้หนู กระเจี๊ยบเขียว หรือดอกไม้บางชนิดที่สามารถเก็บผลผลิตขายได้ตลอดปี
- เตรียมดินสำหรับปลูกไม้ยืนต้นบางชนิด เช่น มะม่วง กล้วย บริเวณคันดินขอบสระ โดยปรับสภาพดินบริเวณหลุมให้เหมาะสม ใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกคลุกเคล้ากับดิน ก่อนปลูกต้นไม้แล้วคลุมโคนต้นด้วยฟางข้าว
2. การจัดการดินด้วยอินทรียวัตถุในนาข้าว
- ไถกลบตอซังพร้อมกับใส่ปุ๋ยอินทรีน้ำ
- ใส่ปุ๋ยคอกและแกลบในแปลงเพาะปลูก
- ใส่ปูนขาว หรือปูนมาร์ล หรือเปลือกหอย หรือขี้เถ้าแกลบ ( ในกรณีที่เป็นดินกรด)
- ปลูกพืชปุ๋ยสด ( โสนอัฟริกา ถั่วพุ่ม ถั่วพร้า)
- ใส่ปุ๋ยอินทรีย์น้ำในช่วงก่อนข้าวตั้งท้อง
- ฉีดพ่นปุ๋ยอินทรีย์น้ำจากสมุนไพรในช่วงเจริญเติบโต
3. การจัดการดินด้วยอินทรียวัตถุในพืชไร่
- กรณีกำจัดวัชพืชฉีดพ่นปุ๋ยอินทรีย์น้ำเข้มข้นก่อนไถเตรียมดิน 1 วัน
- ไถกลบตอซังพร้อมกับใส่ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ
- ใส่ปูนขาว หรือปูนมาร์ล หรือเปลือกหอย หรือขี้เถ้าแกลบ ( ในกรณีที่เป็นดินกรด)
- ปลูกพืชปุ๋ยสด เช่น ปอเทือง ถั่วพุ่ม ถั่วพร้า โสนอัฟริกา หรือปลูกหญ้าแฝก
- นำเศษพืชคลุมดินหรือปลูกพืชตระกูลถั่วคลุมดินระหว่างแถวปลูกพืชหลัก
- ฉีดพ่นปุ๋ยอินทรีย์น้ำในช่วงก่อนติดดอก และจากได้ผลผลิตแล้ว
- ฉีดพ่นปุ๋ยอินทรีย์น้ำสมุนไพรในช่วงการระบาดของแมลงศัตรูพืช
4. การจัดการดินด้วยอินทรียวัตถุในพืชผัก
- ไถหรือสับกลบเศษตอซังพร้อมกับใส่ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ
- ใส่ปูนขาว หรือปูนมาร์ล หรือเปลือกหอย หรือขี้เถ้าแกลบ ( ในกรณีที่เป็นดินกรด)
- กรณีที่มีวัชพืชขึ้นมากฉีดปุ๋ยอินทรีย์น้ำเข้มข้น ก่อนไถเตรียมดิน 1 วัน
- ใส่ปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอกพร้อมกับเชื้อราไตรโคเดอร์มา
- ใส่พืชคลุมดินระหว่างแถวปลูกผัก หรือปลูกหญ้าแฝก
- ฉีดปุ๋ยอินทรีย์น้ำในช่วงระหว่างการเจริญเติบโตของผัก
- ฉีดปุ๋ยอินทรีย์น้ำสมุนไพรในช่วงที่มีการระบาดของแมลงศัตรูพืช
5. การจัดการดินด้วยอินทรียวัตถุในผลไม้
- ในกรณีเริ่มปลูกไม้ผลกำจัดวัชพืชโดยใส่ปุ๋ยอินทรีย์น้ำเข้มข้นก่อนไถเตรียมดิน 1 วัน
- หรือปูนมาร์ล หรือเปลือกหอย หรือขี้เถ้าแกลบ ( ในกรณีที่เป็นดินกรด)
- ใส่ปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอกพร้อมกับเชื้อราไตรโคเดอร์มาในหลุมปลูกไม้ผล และบริเวณรอบทรงพุ่มของไม้ผล (ช่วงเจริญเติบโต)
- ปลูกพืชตระกูลถั่วบำรุงดิน พืชผัก และพืชอายุสั้นระหว่างแถวปลูกไม้ผลและปลูกหญ้าแฝกระหว่างแถวไม้ผล เพื่อป้องกันการชะล้างของผิวหน้าดิน
- นำวัสดุเศษพืชคลุมดินบริเวณโคนต้นไม้ผล
- ฉีดพ่นปุ๋ยอินทรีย์น้ำในช่วงการเจริญเติบโต ก่อนติดดอก หลังติดผลแล้ว
- ฉีดพ่นปุ๋ยอินทรีย์น้ำสมุนไพรช่วงที่มีการระบาดของแมลงศัตรูพืช
6. การปลูกหญ้าแฝกร่วมกับพืชเศรษฐกิจเพื่อการปรับปรุงบำรุงดินและการอนุรักษ์ดินและน้ำ
การนำหญ้าแฝกไปปลูกในพื้นที่เกษตรอย่างมีระบบจะช่วยรักษาความชื้นของดิน ฟื้นฟูปรับปรุงบำรุงดิน และป้องกันชะล้างพังทลายของดิน โดยมีการจัดการดังนี้
- การปลูกหญ้าแฝกในพื้นที่ปลูกพืชไร่และพืชผัก โดยปลูกหญ้าแฝกเป็นแถวอยู่ระหว่างแถวของพืชไร่ เพื่อช่วยรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน เพิ่มความชื้นในดิน และตัดใบหญ้าแฝกใช้เป็นวัสดุคลุมดิน
- การปลูกหญ้าแฝกในพื้นที่ปลูกไม้ผล โดยปลูกหญ้าแฝกเป็นแถวอยู่ระหว่างแถวของไม้ผลเพื่อใช้ประโยชน์จากใบหญ้าแฝกตัดคลุมดินระหว่างแถว และปลูกหญ้าแฝกเป็นครึ่งวงกลมของไม้ผลเพื่อลดและ ป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน
การจัดการดินเค็มก่อนการเพาะปลูกพืช
1. ไถพรวนดินในระดับลึกซึ่งจะทำให้ดินมีการระบายน้ำสูงขึ้น
2. เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินโดยการใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก แกลบ ในอัตราส่วน 2-3 ตันต่อไร่ หรือโดยการปลูกพืชปุ๋ยสดทนเค็ม เช่น โสนอัฟริกัน และปอเทือง แล้วไถกลบเมื่อออกดอก
3. ป้องกันการเคลื่อนที่ของเกลือจากน้ำใต้ดินไม่ให้สะสมในชั้นดิน โดยการรองพื้นด้วยแผ่นพลาสติก หรือถุงปุ๋ยที่ระดับความลึก 20-30 เซนติเมตรจากผิวดิน
4. คลุมหน้าดินด้วยฟางข้าว ในอัตรา 1-2 ตันต่อไร่ เพื่อลดการระเหยน้ำของดิน
5. ใช้น้ำในปริมาณที่มากกว่าปกติเพื่อเพิ่มการชะล้างเกลือ
6. ปลูกหญ้าทนเค็ม เช่น หญ้าดิกซี่ บนคันสระเพื่อป้องการชะล้างพังทลายของคันสระ
7. ปลูกไม้ยืนต้นทนเค็มบนคันดินรอบ ๆ สระน้ำ เช่น ละมุด พุทรา สะเดา
8. เลือกพืชทนเค็มมาปลูก เช่น ผักบุ้ง มะเขือเทศ เป็นต้น
การจัดการดินเปรี้ยวจัดก่อนการเพาะปลูกพืช
เนื่องจากดินบริเวณรอบ ๆ สระน้ำที่ขุดในพื้นที่ดินเปรี้ยวจัด เป็นดินที่ขุดจากดินชั้นล่าง ๆ ขึ้นมา ทำให้เกิดกรดเพิ่มขึ้นและดินมีความเป็นกรดสูงมาก การใช้ประโยชน์ที่ดินบนคันดินรอบ ๆ สระน้ำจำเป็นต้องทำการปรับปรุงแก้ไขสภาพความเป็นกรดและสภาพเนื้อดินให้เหมาะสม โดยปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. หว่านปูนทั่วพื้นที่บริเวณคันดินและพื้นที่รอบ ๆ สระ รดน้ำให้ชุ่มชื้นหรือมีฝนตก ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 20 วัน ก่อนเตรียมดินปลูกพืช
2. หว่านเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสด เมื่ออายุประมาณ 55-60 วัน หรือเริ่มออกดอก สับกลบลงดินเป็นการเพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ดิน
3. เตรียมดินปลูกพืชผักอายุสั้น โดนการใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกคลุกเคล้ากับดินในแปลงแล้วคลุมดินด้วยฟางข้าวรักษาความชื้น ใช้น้ำในบ่อรดพืชผัก
4. เตรียมดินสำหรับปลูกไม้ผลบางชนิด เช่น มะม่วง กล้วย ละมุด ใส่ปูนปรับสภาพดินบริเวณหลุมปลูก ใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก คลุกเคล้ากับดินก่อนปลูก แล้วคลุมโคนต้นด้วยฟางข้าว
ดินเค็ม
หมายถึง ดินที่มีปริมารเกลือที่ละลายอยู่ในสารละลายดินมากเกินไปจนมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและผลิตผลของพืช เนื่องจากทำให้พืชเกิดอาการขาดน้ำ และมีการสะสมไอออนที่เป็นพิษในพืชมากเกินไป นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความไม่สมดุลของธาตุอาหารพืชด้วย วิธีการแก้ไขลดระดับความเค็มดินลงให้สามารถปลูกพืชได้ ทำได้โดยการใช้น้ำชะล้างเกลือจากดินและการปรับปรุงดิน การให้น้ำสำหรับล้างดินมีทั้งแบบต่อเนื่องและแบบขังน้ำเป็นช่วงเวลา แบบต่อเนื่องใช้เวลาในการแก้ไขดินเค็มได้รวดเร็วกว่าแต่ต้องใช้ปริมาณน้ำมาก ส่วนแบบขังใช้เวลาในการแก้ไขดินเค็มช้ากว่า แต่ประหยัดน้ำ
ระดับความเค็มของดิน
ดินเค็มน้อย
หมายถึง ดินที่มีปริมาณเกลือในดินประมาณ 0.12-0.25 เปอร์เซ็นต์ วัดด้วยเครื่องมือวัดความเค็มได้ 2-4 เดซิซีเมนต่อเมตร พืชที่ไม่ทนเค็มจะเริ่มแสดงอาการ เช่น การเจริญเติบโตลดลง ใบสีเข้มขึ้น ใบหนาขึ้น ปลายใบไหม้ ปลายใบม้วนงอ ผลผลิตลดลง
ดินเค็มปานกลาง
หมายถึง ดินที่มีปริมาณเกลือในดินประมาณ 0.25-0.50 เปอร์เซ็นต์ วัดด้วยเครื่องมือวัดความเค็มได้ 4-8 เดซิซีเมนต่อเมตร ก่อนการปลูกพืชจะต้องมีการปรับปรุงดินเสียก่อนด้วยการใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยพืชสด
ดินเค็มจัด
หมายถึง ดินที่มีปริมาณเกลือในดินประมาณ 0.5-1.0 เปอร์เซ็นต์ วัดด้วยเครื่องมือวัดความเค็มได้ 8-16 เดซิซีเมนต่อเมตร มีพืชบางชนิดเท่านั้นที่สามารถเจริญเติบโต และให้ผลผลิตได้
1.ประเทศไทยมีลุ่มน้ำหลักกี่ลุ่มน้ำ
2.เขื่อนพระรามหกใช้กั้นแม่น้ำอะไร
3.แม่น้ำใดที่ไม่มีเขื่อนทดน้ำหรือระบายน้ำ
4.เขื่อนใดที่ไม่ใช่เขื่อนทดน้ำหรือระบายน้ำขนาดใหญ่
5.น้ำ1ลิตรหนักเท่าใด
6.น้ำ 1 ลูกบาศก์เมตรมีกี่ลิตร
7.ส่วนผสมคอนกรีตมาตราส่วน 1:2:4 ใช้ปูนชีเมต์กี่กิโลกรัม
8.จากข้อ 7.ต้องใช้ทรายปริมารเท่าใด
9.เหล็ก 1 ตันใช้ลวดผูกเหล็กเท่าใด
10.เสาตอม่อหมายถึงส่วนใด
11.กรรมวิธีการบ่มคอนกรีตมีกี่วิธี
12.การบ่มคอนกรีตเสา คาน พื้น ควรบ่มอย่างน้อยกี่วัน
13.กรรมวิธีการผลิตปูนชีเมนต์มีกี่วิธี
14.ปูนซีเมนต์ปอร์ทแลนด์ประเภทใดใช้มากที่สุด
15.เหล็กเส้นผสม 5มม ยาวกี่เมตร
16.ในการก่อสร้างอาคารสูง 10เมตรต้องมีรั่วชั่วคราวสูงเท่าใด
17.ท่อน้ำชนิดใดนำมาใช้ทำท่อน้ำหยด น้ำฉีด
18.พื้นที่ 4000 ตารางเมตรเป็นกี่ไร่
19.ปัจจุบันใช้แผนพัฒนาประเทศฉบับที่เท่าไหร่
20.การระบายน้ำในทางชลประทานคือ
21.ข้อใดไม่ใช่ส่วนประกอบของอาคารควบคุมบังคับน้ำ
22.การผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นหน้าที่ของใคร
23.ถ้าจะตรวจสอบว่าจะมีฝนตกไหมจะต้องเข้าเว็บอะไร
24.ประเทศไทยประสบปัญหาของน้ำเรื่องอะไรมากที่สุด
25. 3ข-2ซ หมายถึงอะไร
26.เครื่องมือชนิดใดใช้วัดการระเหยของน้ำ
27.พืชต้องการใช้น้ำมากที่สุดเวลาใด
28.โทรมาตรคืออะไร
29.Planineter คือเครื่องมือใช้ทำอะไร คำนวณหาขนาดของพื้นที่
30.ในช่วงเดือนพฤศจิกายนประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากมรสุมใด
31.ภาคกลางปลูกพืชชนิดใดมากที่สุด
32.ภาคใดของประเทศไทยมีฝนตกชุกเฉลี่ยทั้งปีมากที่สุด
33.ป่าโซน C คือป่าประเภทใด
34.สัญลักษณ์ SS ในงานชลประทานหมายถึง
35.การมีส่วนร่วมของประชาชนมีลำดับขั้นตอนอย่างไรบ้าง
36.ข้อใดไม่ใช่หน้าที่ของนายช่างชลประทาน
37.ชลประทานไม่จ่ายน้ำในระบบใด
จำหน่ายเอกสารแนวข้อสอบกรมชลประทาน ใหม่ล่าสุด
รวมทุกอย่างที่ออกข้อสอบ รวมแนวข้อสอบเก่าเด็ดๆๆ และข้อสอบที่ออกบ่อยมาก
ประกอบด้วย
- แนวข้อสอบความรู้ทั่วไปความรู้เกี่ยวกับกรมชลประทาน
ข้อสอบเฉพาะตำแหน่ง
- ข้อสอบตำแหน่งนักจัดการงานทั่วไป
- ข้อสอบตำแหน่งนักวิเคราะห์นโยบายและแผน
- ข้อสอบตำแหน่งนักวิชาการเงินและบัญชี
- ข้อสอบตำแหน่งเจ้าพนักงานการเงินและบัญชี
- ข้อสอบตำแหน่งนายช่างเครื่องกล
- ข้อสอบตำแหน่งเจ้าพนักงานธุรการ
- ข้อสอบตำแหน่งเจ้าพนักงานธุรการ
ส่งเป็นไฟล์ทางอีเมล์ สนใจสั่งซื้อมาที่ โทร 085-0127724
สามารถนำไปปริ้นเพื่นอ่านได้เลย ในราคาเพียงชุดละ 399 บาท
กรุณาชำระค่าสินค้าและบริการ
เลขที่บัญชี 491-2-00428-2 ธ.กสิกรไทย
บิ๊กซีขอนแก่น decho pragay ออมทรัพย์
โอนเงินแล้วแจ้งที่ decho.by@hotmail.com